เมื่อพูดถึงเรื่องของการยกกระชับผิวหน้าโดยใช้เทคนิคการร้อยไหมซึ่งได้รับความนิยมมาเป็นเวลายาวนาน โดยที่การร้อยไหมจะเป็นการนำเข็ม พร้อมเส้นไหมละลาย สอดเข้าไปใต้ผิวหนังซึ่งในส่วนของเส้นไหมนั้นมีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับความต้องการในการใช้งานลักษณะโครงสร้างของผิว ซึ่งในส่วนนี้แพทย์จะเป็นผู้ประเมินเองว่าเราควรใช้เส้นไหมแบบใด ยกตัวอย่างเช่นในกรณีที่ต้องใช้เส้นไหมละลายที่มีเงี่ยง แพทย์ก็จะทำการใช้เข็มนำเส้นไหมนี้สอดเข้าไป ในชั้นผิวหนังเพื่อทำการประคองผิวบริเวณแก้มที่หย่อนคล้อยขึ้นไป ยึดกับบริเวณขมับแล้วดึงเข้าหากัน ซึ่งถ้าหากทำอย่างถูกวิธี ก็จะเกิดเส้นใยอิลาสตินขึ้นมาเกาะตามเงี่ยงตามปุ่มของเส้นไหมช่วยทำให้ผิวเต่งตึงขึ้นและยกกระชับขึ้น เพียงเท่านี้ เราก็จะมีผิวหน้าที่ปราศจากความหย่อนคล้อยอีกต่อไปโดยเวลาของการละลายจะเกิดขึ้นหลังจาก 18 เดือนเป็นต้นไปนั่นหมายความว่าเส้นไหมจะอยู่ได้นานประมาณ 6-18 เดือนจากนั้นจะละลายหายไปได้เองตามธรรมชาติ การร้อยไหมดึงแทบจะไม่มีปัญหาหลังร้อยไหมเลย ยกเว้นแต่ว่าผู้รับบริการเลือกใช้บริการคลินิกที่ไม่มีมาตรฐาน ใช้เส้นไหมที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือแพทย์ผู้ให้บริการไม่มีความชำนาญมากพอก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาหลังจากการร้อยไหมขึ้นมาได้ ซึ่งในส่วนนี้เชื่อได้ว่าเป็นเรื่องที่หลายคนกังวลใจว่าหลังจากร้อยไหมไปแล้วจะมีปัญหาตามมาอีกมากน้อยแค่ไหน ดังนั้นวันนี้เราจะมาเล่าเรื่องนี้กันพร้อมทั้งไปดูข้อดีข้อเสียของการร้อยไหมกันเลย
ปัญหาหลังร้อยไหมที่อาจจะเกิดขึ้นได้
- หน้าบวมหลังจากการร้อยไหม
ปัญหาหลังร้อยไหมก็คือปัญหาหน้าบวมซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้เยอะมากที่สุดโดยทั่วไปแล้วมักจะเกิดขึ้นจากสาเหตุหลักๆดังนี้
– คนไข้มีเนื้อแก้มเยอะ หรือแพทย์ดึงเยอะมากเกินไป โดยในกรณีนี้ ถ้าหากแพทย์ผู้ชำนาญการจริง จะแนะนำให้คนไข้ทำเมโสแฟต บริเวณแก้มให้ไขมันแก้มน้อยลงไปก่อน ที่จะมาร้อยไหมจะทำให้เห็นผลลัพธ์ในการร้อยไหมได้ดีมากขึ้นและไม่เกิดปัญหาหน้าบวมมากอย่างที่เป็น แต่ถ้าหากคนไข้เกิดการใจร้อนอยากร้อยไหมเลยโดยไม่ทําเมโสแฟต ก็ต้องยอมรับว่าแพทย์จะถึงได้น้อยเนื่องจากถ้าหากดึงแก้มขึ้นไปเยอะเกินไปก็จะไปกองกันอยู่ด้านบนซึ่งทำให้เกิดอาการหน้าบวมหรือพูดง่ายๆว่าดูเหมือนหน้าบวมขึ้น
– การดึงเส้นไหมผิดแนว เป็นกรณีปัญหาหลังร้อยไหมที่มักจะเกิดขึ้นกับการดึงร่องแก้ม ซึ่งจะเป็นการดึง ในแนวเฉียงขึ้นไปบริเวณโหนกแก้มและแน่นอนว่ามันจะไปส่งผลให้โหนกแก้มดูมีเนื้อเยอะขึ้นจึงทำให้ดูใบหน้าบวมขึ้นได้
– เกิดจากการอักเสบและการติดเชื้อ ซึ่งโดยปกติแล้วหลังจากการร้อยไหมในช่วงเวลาประมาณ 3-4 วันแรก ใบหน้าคนไข้จะมีอาการบวมมากขึ้นหลังจากนั้นจะเริ่มยุบตัวลงแต่ถ้าหลังจากวันที่ 4 แล้วยังมีอาการบวมแดงและมีอาการปวดร่วมด้วยควรรีบกลับมาพบแพทย์โดยด่วน
– บวมเลือดและบวมน้ำ โดยที่อาการบวมเลือดจะเกิดขึ้นเนื่องจากมีเลือดออกในชั้นผิวและอาการบวมน้ำจะเกิดขึ้นเนื่องจากการมีน้ำข้างในบริเวณผิวที่เกิดขึ้นจากการอักเสบ แต่ทั้งสองกรณีนี้จะยุบหายไปเองในระยะเวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์โดยที่ไม่มีอันตราย
ข้อดีและข้อเสียของการร้อยไหม
ข้อดี
- เส้นไหมเงี่ยง จะมีลักษณะคล้ายตะขอซึ่งจะทำหน้าที่เกี่ยวเอาผิวหนังขึ้นได้ทันทีหลังจากการร้อยไหมจึงเห็นผลลัพธ์ได้แบบทันตา
- ไหมเงี่ยงถ้าหากร้อยแนวใหม่ที่ถูกต้องและชั้นผิวที่เหมาะสมจะเป็นการช่วยประคองผิวให้ผิวมีความกระชับได้เป็นอย่างดีคล้ายกับเส้นเอ็นตามธรรมชาติของผิวหน้าคนเรา
- เส้นไหมที่นำมาใช้มีความปลอดภัยซึ่งในปัจจุบันนี้จะได้มาจากวัสดุ 3 ชนิดได้แก่ PDO, PLLA, PCL ซึ่งทั้ง 3 ชนิดนี้ได้ผ่านการรับรองจาก FDA ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศว่ามีความปลอดภัยมากที่สุดในการเย็บแผล
- เส้นไหมละลายในปัจจุบันนี้สามารถละลายได้หมด 100% โดยไม่มีสารตกค้างเนื่องจากไม่มีส่วนผสมของโลหะแต่อาจจะหลงเหลืออยู่เพียงแค่เส้นใยอิลาสตินที่ร่างกายเราสร้างขึ้นมาหลังจากการร้อยไหมเพื่อช่วยประคองผิวเท่านั้น
- สำหรับคนไข้บางรายที่มีแก้มตอบสามารถใช้เส้นไหมดึงไขมันขึ้นมาเติมบริเวณแก้มได้หรือผู้ที่มีแก้มล่างยุบก็สามารถเติมให้เต็มได้ด้วยวิธีการร้อยไหมด้วยเช่นกัน ยกเว้นผู้ที่มีแก้มตอบแล้วยังไม่มีเนื้อแก้มส่วนล่างให้ดึงจึงไม่สามารถใช้การร้อยไหมช่วยได้ถ้าหากจะต้องแก้ไขควรใช้เป็นการเติมฟิลเลอร์จะดีกว่า
- ถ้าหากร้อยไหมกับแพทย์ผู้ที่มีความชำนาญการ ด้วยเทคนิคที่ถูกต้องก็จะลดปัญหาหลังร้อยไหม ลดอาการบวมต่างๆได้มาก
- ในการใช้ไหมเส้นเล็กๆ ร้อยเข้าไปในผิวสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องริ้วรอยในบางจุด เช่น ริ้วรอยเล็กๆในบริเวณมุมปากที่ใกล้ๆกับลักยิ้ม ริ้วรอยที่บริเวณหางตา หน้าผาก หรือคนไข้ที่ดื้อโบท็อก
ข้อเสีย
- เส้นไหมแบบมีเงี่ยง จะทำหน้าที่เป็นตะขอดึงผิวไปในทิศทางที่เราต้องการ แต่ถ้าหากดึงโดยใช้เทคนิคที่ผิดหรือไงถ้าหากร้อยไหมปลื้มเกินไป จะทำให้เห็นรอยบุ๋มตามแนวใหม่ที่ร้อย
- เส้นไหมที่ร้อยเข้าไปจะกระตุ้นให้ไฟโบรบลาสต์หรือที่เรียกว่าเซลล์สร้างคอลลาเจนขึ้นมา เกิดเป็นการสร้างเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสต์อินขึ้นมาเกาะเกี่ยวบริเวณเส้นไหมแต่ถ้าหากกระบวนการนี้มีการทับซ้อนกันมากเกินไป และเกิดในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้องจะกลายเป็นผังผืด ซึ่งถ้าหากเกิดขึ้นบริเวณผิวชั้นตื้นเกินไปจะดึงรั้งผิวทำให้เกิดอาการผิดรูปซึ่งเป็นปัญหาหลังร้อยไหมตามมาได้อีก
- อายุของไหมละลาย จะอยู่ได้ประมาณ 4 เดือนถึง 2 ปีขึ้นอยู่กับชนิดและประเภทของเส้นไหม แต่โดยส่วนมากแล้ว ในความเป็นจริงจะอยู่ได้ประมาณ 6-8 เดือน
- สำหรับโครงหน้า ที่มีโหนกแก้มเยอะโหนกแก้มใหญ่ จะไม่สามารถใช้วิธีการร้อยไหมได้เพราะถ้าหากยิ่งร้อยไหมจะยิ่งทำให้โหนกแก้มใหญ่ขึ้นและดูไม่สวยดังนั้นผู้ที่มีโหนกแก้มใหญ่ควรปรับรูปหน้าด้วยการฉีดฟิลเลอร์แก้มตอบแทน
- ปัญหาหลังร้อยไหม ส่วนใหญ่มักจะมีความเสี่ยงในการเกิดอาการบวมช้ำ ค่อนข้างสูง อีกครั้งการฉีดยาชา จะทำให้เกิดอาการบวมช้ำได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังอาจจะมีปัญหาเรื่องของเลือดที่จะออกใต้ผิวหนัง
- ในบางคลินิกอาจจะนิยมใช้การร้อยไหมแทนการเติมฟิลเลอร์ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาหลังร้อยไหมขึ้นมาได้ เนื่องจากการเติมเต็มร่องแก้ม และบริเวณใต้ตาจะต้องใช้เส้นไหมจำนวนมากเป็นร้อยๆเส้นซึ่งมันจะทำให้เกิดพังผืดและเกิดปัญหาขึ้นมาในอนาคตแน่นอน
ฉีดโบท็อกซ์ ขอนแก่น , ฉีดฟีลเลอร์ ขอนแก่น , ฉีดฟิลเลอร์คาง , คลินิก ขอนแก่น , ผิวขาว ขอนแก่น
ฉีดโบท็อกซ์ อุดร , ฉีดฟีลเลอร์ อุดร , ฉีดฟิลเลอร์คาง , คลินิก อุดร , ผิวขาว อุดร
วันดี คลินิก ขอนแก่น (wandee clinic ) คลินิกความงาม ที่ได้มาตรฐาน
มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ คอยให้คำปรึกษา และแก้ปัญหาที่คุณต้องการ
สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ :
วันดี คลินิก 344/17 ซอยรื่นรมย์ ต.ในเมือง อ.เมือง ขอนแก่น 40000
โทร : 097-935-5556
Line : @wandeeclinic
เว็บไซต์ : www.wandeeclinic.com